เพชรที่ตกผลึกตามธรรมชาติใต้แผ่นเปลือกโลก ภายใต้ความลึก ความร้อน และความดันที่สูงมาก ประกอบกับใช้ระยะเวลาหลักพันล้านปีในการตกผลึก ทำให้เพชรมักจะตกผลึก มาพร้อมมลทินภายในเสมอๆ จึงส่งผลต่อ ความสะอาดของเพชร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติครับ มลทินภายในบางครั้งก็มีเสน่ห์อย่างน่าเหลือเชื่อ จึงมักเรียกว่าเป็นลายเซ็นต์ของเพชรเม็ดนั้นๆ เนื่องจากมีลักษณะเฉพาะ ไม่มีเพชรเม็ดใดเหมือนอีกแล้วนั้นเองครับ
ถ้าอยู่ภายในเราเรียกว่า มลทิน (Inclusion) แต่ถ้าอยู่ข้างนอกเราเรียกว่า ตำหนิ (Blemish)
นอกจาก C ตัวแรก Carat (น้ำหนักของเพชร) และ C ตัวที่สอง Color (สีของเพชร) แล้ว ความสะอาดของเพชร จัดเป็น C ตัวที่สาม ซึ่งมีความสำคัญมาก จึงมีการจัดเกรดความสะอาดของเพชร ภายใต้การตรวจสอบด้วยกล้องกำลังขยาย 10x โดยประเมินจากปัจจัยดังต่อไปนี้
ยิ่งมลทินมีขนาดใหญ่ หรือสามารถสังเกตได้ง่าย ก็จะยิ่งจัดว่าเพชรเม็ดนั้นๆ มีระดับความสะอาดต่ำ
จำนวนในที่นี้หมายถึง จำนวนของมลทินที่สามารถ “มองเห็นได้ง่าย” ว่ามีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้ายิ่งมีน้อยก็จะทำให้ระดับความสะอาดสูงขึ้น กล่าวคือ เพชรเม็ดนั้นอาจจะมีมลทินภายในขนาดเล็กมากๆ เป็นจำนวนมาก แต่ยังคงได้ระดับความสะอาดที่สูงอยู่เพราะมองเห็นไม่ชัด เทียบกับเพชรอีกเม็ดมีมลทินภายในขนาดใหญ่เพียงแค่ 1 หรือ 2 จุด ก็จะทำให้ระดับความสะอาดลดลงเพราะเห็นได้ชัดกว่านั้นเอง
Images courtesy of Abdiamond.Ca
ชนิดของมลทิน และผลกระทบต่อความคงทนเพชร เช่น ความผิดปกติในโครงสร้างของผลึก จะมีผลต่อความสะอาดน้อยกว่าการแตกทางกายภาพของเพชร หรือรอยแตกขนาดเล็กๆ แต่ลึกมากๆ คือแตกจาก Crown ไปจนถึง Pavilion ก็จะส่งผลต่อความคงทนของเพชรได้มาก และทำให้ได้ระดับความสะอาดที่ต่ำตามไปด้วย
Images courtesy of Diamondbuzz.blog
การประเมินค่าความสะอาดของเพชรนั้น จะพิจารณาจากจำนวน ขนาด ความยากง่าย ชนิด และตำแหน่งของมลทินต่างๆ รวมไปถึงการที่มลทิน หรือตำหนิเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อลักษณะปรากฏโดยรวมของเพชรมากน้อยแค่ไหน ภายใต้กล้องกำลังขยาย 10 เท่า
โดยระดับความสะอาดของเพชรนั้นแบ่งตามมาตรฐานของ GIA ได้เป็น 6 เกรด และแบ่งย่อยได้เป็น 11 ระดับ โดยเรียงจากสะอาดมากที่สุดไปน้อยสุด ดังนี้
เป็นเพชรที่มีความสะอาดระดับสูงสุด จัดเป็นเพชรที่มีคุณสมบัติไร้ที่ติ และหายากมากที่สุด เนื่องจากปราศจากมลทินใดๆ ทั้งภายในและภายนอกครับ
เป็นเพชรที่มีความสะอาดระดับสูงสุดเช่นเดียวกับ FL แตกต่างกันตรงที่ IF จะปราศจากมลทินภายใน แต่ยังสามารถพบตำหนิภายนอกได้ ในปริมาณเพียงเล็กน้อย เป็นเกรดที่หายากมากเช่นกัน เพราะทั้งโลกนั้นจะมีเพียง 0.5% ที่อยู่ในระดับ IF Clarity
Images courtesy of James Allen
เป็นเพชรที่มีมลทินภายในเพียงไม่กี่จุด และเป็นมลทินที่มีขนาดเล็กมากที่สุด ซึ่งแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญยังยากที่จะมองเห็นภายใต้กำลังขยาย 10x ต้องใช้เวลาพอสมควรในการระบุตำแหน่ง ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองเห็นมลทินด้วยตาเปล่า โดย VVS1 จัดว่าสะอาดกว่า VVS2 ครับ
เป็นเพชรที่มีมลทินภายในขนาดเล็ก ในจำนวนเพียงเล็กน้อย ผู้เชี่ยวชาญสามารถมองเห็นได้โดยใช้เวลาไม่นาน ภายใต้กำลัง 10x แต่ยังไม่สามารถมองเห็นมลทินได้ด้วยตาเปล่า โดย VS1 จัดว่าสะอาดกว่า VS2 ครับ
เป็นเพชรที่มีมลทินภายในปานกลาง ผู้เชี่ยวชาญมองเห็นมลทินภายในได้ง่ายภายใต้กำลัง 10x ในบางกรณีสามารถมองเห็นมลทินได้ด้วยตาเปล่า โดย SI1 จัดว่าสะอาดกว่า SI2 ครับ
เป็นเพชรที่มีมลทินภายในมาก ผู้เชี่ยวชาญมองเห็นมลทินภายในได้อย่างชัดเจนภายใต้กำลัง 10x และยังสามารถมองเห็นมลทินได้ด้วยตาเปล่า มลทินที่เห็นจะส่งผลต่อความโปร่งใส และประกายของเพชร ในบางกรณี อาจส่งผลต่อความแข็งแรงทนทานของโครงสร้างเพชรด้วย โดยเกรดต่ำสุดคือ I3 ครับผม
ในกระบวนการประเมินคุณภาพเพชร ผู้ตรวจสอบจะทำหน้าที่ในการระบุสัญลักษณ์ของมลทินภายใน และตำหนิภายนอก ลงบนไดอะแกรมของทั้งหน้า Crown และ Pavilion Facet เพื่อจะได้ระบุตำแหน่งและชนิดของมลทินภายใน และตำหนิภายนอกได้อย่างครบถ้วน โดยสัญลักษณ์ต่างๆ จะบ่งชี้ถึง ตำแหน่ง ขนาด หรือบางครั้งก็บอกรูปร่างซึ่งมีนัยสำคัญในการประเมินความสะอาด โดยจะใช้
ความสะอาดของเพชร (Clarity) จึงเป็นอีกหนึ่ง C ที่ไม่ควรละเลย เพชรที่มีตำหนิภายนอก และมลทินภายในเยอะ แสงจะเดินทางได้ไม่สมบูรณ์ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของเพชรเม็ดนั้นๆได้ รวมไปถึงประกายของเพชรจะน้อยลงตามไปด้วย
ทั้งนี้หากคุณผู้อ่าน เป็นคนหนึ่งที่ชอบเพชรที่มีประกายระยิบระยับสวยงาม นอกจากความสะอาดของเพชรที่คุณต้องคำนึงแล้ว ผมอยากให้คุณผู้อ่านโฟกัสอีกหนึ่ง C ซึ่งก็คือ การเจียระไนเพชร (Cut) ครับ ถือเป็น C ตัวสุดท้ายในหลัก 4C’s ที่มีความสำคัญต่อประกายของเพชรโดยตรงเลยครับ
เพชรที่มีทั้งความสะอาดระดับสูง และเจียระไนที่สมบูรณ์แบบ จัดได้ว่าเป็นเพชรที่มีประกายสวยอย่างที่สุดเลยล่ะครับ
จัดส่งรวดเร็ว
สินค้ารับประกัน
ยินดีให้บริการ
ชำระเงินปลอดภัย